ในยุคที่ที่การขายของออนไลน์กำลังเฟื่องฟู ใคร ๆ ก็สามารถเป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีมือถือและบัญชีธนาคารค่ะ แต่คุณน้าคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะยังเข้าใจไม่ลึกพอ นั่นก็คือ ภาษี e-Payment ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีรายได้ผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น โอนเงิน, ขายของออนไลน์ หรือรับเงินผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ
สำหรับบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาษี e-Payment คืออะไร? มีเกณฑ์ในการเสียภาษีอย่างไรบ้าง? รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้สามารถยื่นภาษี e-Payment ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ห้ามพลาดบทความนี้เลยค่ะ!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ภาษีคืออะไร?

ภาษี คือ เงินที่รัฐบาลเก็บจากประชาชนหรือนิติบุคคล เพื่อจุดประสงค์ในการนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, สาธารณสุข, การศึกษา และความมั่นคง ซึ่งภาษีนับเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ประชาชนและนิติบุคคลมีพันธะต้องชำระ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนนั่นเองค่ะ
เตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีบุคคลเงินได้ธรรมดาออนไลน์
ภ.ง.ด.90 / 91 / 94 แบบไหนที่คุณควรยื่น?
- คุณต้องยื่นภาษีประเภทใด?
- วิธียื่นภาษีแต่ละแบบทำอย่างไร?
- ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่? มีกำหนดระยะเวลาไหม?
- ถ้าไม่ยื่นภาษี จะเกิดอะไรขึ้น?
แนวทางวางแผนยื่นภาษีออนไลน์เบื้องต้น สำหรับมนุษย์เงินเดือน
- รายได้ของคุณ เข้าข่ายเงินได้ประเภทใด?
- สำรวจสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คุณสามารถใช้ได้ ทั้งลดหย่อนส่วนตัว ครอบครัว ประกัน หรือกองทุนต่าง ๆ
- เรียนรู้หลักการคำนวณภาษีแบบขั้นบันได พร้อมเทคนิคช่วยให้คำนวณภาษีได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
ทำไม “การวางแผนลดหย่อนภาษี” จึงเป็นเรื่องสำคัญ?
- วิธีลดการจ่ายภาษีที่อาจสูงเกินจำเป็น
- เคล็ดลับการใช้สิทธิลดหย่อนได้อย่างเต็มที่ ตามกฎหมาย
- การวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือภาระภาษีล่วงหน้าอย่างไม่สะดุด
7 เครื่องมือช่วยคำนวณภาษี ใช้งานง่ายและแม่นยำ
- ไฟล์ Excel สำหรับคำนวณภาษี ตัวช่วยเบื้องต้นที่หลายคนคุ้นเคย
- เว็บไซต์คำนวณภาษี ระบบจะคำนวณภาษีให้โดยอัตโนมัติ
- แอปพลิเคชันคำนวณภาษี สำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวในการวางแผนภาษี
ภาษี e-Payment คืออะไร?
ภาษี e-Payment (Electronic Payment Tax) คือ ระบบที่กรมสรรพากรใช้ในการตรวจสอบรายได้ของบุคคลธรรมดา ผ่านธุรกรรมการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร, Mobile Banking, พร้อมเพย์, QR Code และแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีและติดตามรายได้จากธุรกรรมทางดิจิทัล เช่น การโอนเงินหรือรับเงินจากการค้าขายออนไลน์
📢 เป้าหมายของภาษี e-Payment คือ ลดการเลี่ยงภาษีจากรายได้ที่ไม่ได้ถูกนำมายื่นภาษี โดยเฉพาะจากอาชีพอิสระหรือผู้ค้าขายออนไลน์ที่ไม่มีใบกำกับภาษีหรือหลักฐานรายได้แบบเป็นทางการนั่นเองค่ะ
ภาษี e-Payment เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
กฎหมายภาษี e-Payment นี้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 21 มีนาคม 2562 ค่ะ ถือว่าไม่เก่ามากนัก แต่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะสายโอนบ่อย รับโอนถี่ เพราะนี่คือกลุ่มที่อาจจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องถูก “รายงานข้อมูล” ไปยังกรมสรรพากร โดยสถาบันการเงินจะต้องเริ่มรายงานข้อมูลธุรกรรมที่เข้าเกณฑ์ให้กรมสรรพากรตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป
ใครบ้างที่เข้าข่ายต้องรายงานภาษี e-Payment?
ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล อาทิ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ก็มีสิทธิเข้าข่ายในการจ่ายภาษี e-Payment เหมือนกันหมดค่ะ หากบัญชีมี “ธุรกรรมเฉพาะ” ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้นั่นเอง
ใครบ้างที่เข้าเกณฑ์จะต้องเสียภาษี e-Payment?
ถ้ามีบัญชีธนาคารหรือมีหลายบัญชีในธนาคารเดียวกัน แล้วมีการทำธุรกรรมตามเงื่อนไขต่อไปนี้ สถาบันการเงินจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของทุกปี โดยเกณฑ์มีดังนี้
- รับฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป โดยไม่จำกัดจำนวนเงินต่อครั้ง
- รับฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกัน ตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีขึ้นไป และมียอดเงินรวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทต่อปีขึ้นไป ซึ่งต้องเข้าเงื่อนไขทั้งจำนวนครั้งและยอดเงินค่ะ
ตัวอย่างเช่น หากเราเปิดบัญชีกับธนาคารเดียวกันไว้หลายบัญชี เช่น 5 บัญชี จะมีการนับจำนวนครั้งและยอดเงินจะนำของทุกบัญชีที่ชื่อเดียวกันในธนาคารนั้นมารวมกันเลย แต่ถ้าเป็นบัญชีคนละธนาคารยอดจะไม่ถูกนำไปรวมกันค่ะ
หากเข้าเกณฑ์จะต้องเสียภาษีเลยไหม?
การเข้าเกณฑ์ที่ต้องรายงานข้อมูลไม่ได้หมายความว่าต้องเสียภาษีทันทีนะคะ แต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลให้กรมสรรพากรทราบ เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบเท่านั้น หากรายได้ที่ได้รับจากธุรกรรมเหล่านี้เป็นรายได้ตามกฎหมาย เช่น รายได้จากการขายของออนไลน์ รับเงินค่าบริการ ฯลฯ ผู้มีรายได้ต้องนำไปรายงานและยื่นภาษีประจำปีให้ถูกต้องด้วยตนเองค่ะ
📌 หมายเหตุ : หากคุณไม่ได้เข้าเกณฑ์นี้ ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลของคุณให้สรรพากร แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องยื่นภาษี หากมีรายได้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดตามกฎหมาย
เอกสารที่ต้องส่งให้กรมสรรพากรมีอะไรบ้าง?
สำหรับข้อมูลและเอกสารในส่วนนี้พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องทำการส่งเอกสารด้วยตนเองค่ะ สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ที่เราใช้บริการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการนำส่งข้อมูลให้สรรพากรเอง แต่เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัวของเรา จึงควรทราบว่าเอกสารหรือข้อมูลใดที่สถาบันการเงินจะต้องรายงานให้สรรพากรค่ะ
ข้อมูลที่สถาบันการเงินต้องนำส่งสรรพากร มีดังนี้
- เลขประจำตัวประชาชน
- ชื่อ-นามสกุล
- จำนวนครั้งที่มีการฝากหรือรับโอนเงินในแต่ละปี
- ยอดรวมของเงินฝากหรือรับโอนทั้งหมดในปีนั้น
- เลขที่บัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม
หลังจากที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งไปยังกรมสรรพากรแล้ว หากพบว่าพ่อค้าแม่ค้ามีลักษณะเข้าข่ายต้องเสียภาษีเพิ่มเติม กรมสรรพากรจะติดต่อเพื่อขอให้จัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติม เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาภาษีอย่างถูกต้องค่ะ
📢 ข้อควรรู้ : พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องส่งเอกสารเอง แต่ควรเก็บรักษาหลักฐานทางการเงินให้เป็นระเบียบ เพื่อพร้อมสำหรับการวางแผนภาษีและการตรวจสอบจากกรมสรรพากรในอนาคตด้วยนะคะ
ค่าปรับเกี่ยวกับ e-Payment ที่ควรรู้
ค่าปรับสำหรับธนาคาร, สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการ e-Wallet ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ส่งข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากรนั้น มีความถูกต้องตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมาย e-Payment โดยมีบทลงโทษดังนี้
- ปรับไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับการไม่ส่งข้อมูลตามกำหนด
- ปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะส่งข้อมูลครบถ้วน
นอกจากนี้ กรณีเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษทางอาญา ดังนี้
- จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ
- ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ
- ทั้งจำทั้งปรับ
ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับของข้อมูลผู้เสียภาษีค่ะ
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรเตรียมตัวอย่างไร?
1. เริ่มต้นจากการจดทะเบียนธุรกิจ
หากคุณขายของเป็นประจำและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ควรดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์หรือจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เพื่อให้กิจการมีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน และสามารถดำเนินการด้านภาษีได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ
2. แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ
การแยกบัญชีรับจ่ายของกิจการออกจากบัญชีส่วนตัวอย่างชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถติดตามรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลประกอบการของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังลดความสับสนในกรณีที่ต้องยื่นภาษีหรือถูกตรวจสอบ
3. เก็บบันทึกรายรับรายจ่าย
ไม่ว่าจะใช้แอปพลิเคชันบัญชีหรือบันทึกด้วยมือ การจัดเก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณคำนวณภาษีปลายปีได้ง่ายขึ้น พร้อมมีหลักฐานประกอบหากมีการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ
4. ยื่นภาษีให้ถูกต้อง
- บุคคลธรรมดา: ยื่นภาษีผ่านแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
- นิติบุคคล: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และเสียภาษีตามรอบบัญชี
**หากมีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น ขายผ่านหลายแพลตฟอร์ม หรือรับงานอิสระร่วมด้วย จำเป็นต้อง รวมรายได้ทั้งหมด เพื่อยื่นภาษีให้ครบถ้วน ถูกต้องตามกฎหมายนะคะ
ประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับ e-Payment
1. ภาษีเงินได้
สำหรับบุคคลธรรมดา
- รายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์และรับชำระผ่านระบบ e-Payment ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ผู้มีรายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์เช่น YouTube, TikTok, หรือ Facebook ที่รับเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องนำรายได้เหล่านี้มารวมคำนวณภาษี
- การขายสินค้าออนไลน์ผ่าน e-Marketplace และรับเงินผ่าน e-Payment ก็อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเช่นกัน
สำหรับนิติบุคคล
- บริษัทที่มีรายได้จากช่องทาง e-Payment ต้องบันทึกรายได้เหล่านี้ในระบบบัญชีและนำมาคำนวณเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- กำไรจากธุรกรรม e-Payment ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ต้องถูกนำมาคำนวณในงบการเงินเพื่อเสียภาษี
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านระบบ e-Payment เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
- การขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และรับชำระเงินผ่านระบบ e-Payment ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าและนำส่งกรมสรรพากร
- แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในประเทศไทย เช่น Netflix, Spotify ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทยและเรียกเก็บ VAT จากผู้ใช้บริการ
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- การจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการผ่านระบบ e-Payment ในบางกรณียังคงต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
- นิติบุคคลที่จ่ายเงินให้กับผู้ขายหรือผู้ให้บริการผ่านระบบ e-Payment มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
- การจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Influencer หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านระบบ e-payment ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 2-3% ตามประเภทของผู้รับเงิน
ข้อควรระวังสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
- อย่าคิดว่า “ยอดโอนน้อย ๆ หลบได้” เพราะระบบดิจิทัลสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ทั้งหมด
- ถ้าถูกตรวจสอบย้อนหลังแล้วพบว่าไม่ได้ยื่นภาษี อาจถูกเรียกเก็บย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับ
- หากจัดการภาษีถูกต้องตั้งแต่แรก คุณจะไม่มีอะไรต้องกังวลเลย

ตัวอย่างสถานการณ์ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
คุณน้าขอยกสถานการณ์ตัวอย่างมาให้ดูกันนะคะ ว่าเข้าข่ายเสียภาษี e-Payment หรือไม่? และต้องดำเนินการอย่างไร?
สถานการณ์ | เข้าข่ายภาษี e-Payment หรือไม่? | ต้องทำอย่างไร |
---|---|---|
ขายของผ่าน Facebook Live และรับโอนเงินเข้าแอปธนาคารวันละ 10 ครั้ง | ถ้าเกิน 3,000 ครั้ง/ปี → ใช่ | ควรเริ่มต้นบันทึกรายรับ และยื่นภาษีอย่างถูกต้อง |
ขายของเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ รายได้รวมปีละ 200,000 บาท | ไม่เข้าเกณฑ์ e-Payment เนื่องจากรายได้รวมต่ำกว่า 400,000 บาทต่อปี และไม่เกิน 3,000 ครั้ง | แต่หากรายได้รวมเกิน 60,000 บาท/ปียังคงต้องยื่นภาษี |
ใช้บัญชีเดียวกันทั้งรับเงินจากงานประจำและขายของออนไลน์ | มีโอกาสถูกเข้าใจผิดว่าเป็นรายได้จากแหล่งเดียว | ควรแยกบัญชีเพื่อความชัดเจนและลดความเสี่ยง |
ทริค! การเตรียมตัวสำหรับผู้ค้าออนไลน์
✅ แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว
การแยกบัญชีจะช่วยให้การติดตามรายรับจากการค้าขายเป็นไปอย่างสะดวก และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการตรวจสอบภายหลังได้ค่ะ
✅ จดทะเบียนพาณิชย์หรือเป็นนิติบุคคล (ถ้ามีรายได้ประจำ)
แม้ว่าการจดทะเบียนจะไม่เป็นข้อบังคับ แต่การทำเช่นนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดูมีความน่าเชื่อถือ และสามารถหักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
✅ บันทึกรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะใช้แอปบัญชีรายวันหรือทำ Spreadsheet ง่าย ๆ การบันทึกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้คุณเตรียมตัวพร้อมเมื่อถึงเวลายื่นภาษี
✅ ยื่นแบบภาษีตามกำหนด
- นิติบุคคล → ยื่นภาษี ภ.ง.ด.50 ตามรอบบัญชี
- บุคคลธรรมดา → ยื่นภาษี ภ.ง.ด.90/91 ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
ไขทุกข้อข้องใจเกี่ยวกับภาษี e-Payment
Q1: ภาษี e-Payment คือการเสียภาษีใหม่หรือไม่?
e-Payment เป็นแค่ระบบตรวจสอบ ไม่ใช่ภาษีใหม่ และไม่ได้เก็บเพิ่มจากที่กฎหมายกำหนดไว้เดิม
Q2: ถ้าเราโอนเงินให้เพื่อนบ่อย ๆ จะโดนเรียกเก็บภาษีด้วยไหม?
หากไม่เข้าเงื่อนไข 3,000 ครั้ง หรือ 400,000 บาทต่อปี และไม่ได้มีลักษณะเหมือนการค้าขายก็ไม่เข้าข่ายที่จะโดนเรียกเก็บภาษีนะคะ
Q3: ใช้บัญชีเดียวกันทั้งส่วนตัวและขายของ จะมีปัญหาไหม?
หากใช้บัญชีเดียวกันก็มีโอกาสสับสนและถูกเข้าใจผิดได้ค่ะ ควรแยกบัญชีเพื่อลดความเสี่ยงในการตรวจสอบย้อนหลังนะคะ
Q4: ถ้ารายได้ไม่ถึง 60,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษีไหม?
ไม่ต้องเสียภาษี แต่อาจต้องยื่นแบบภาษีเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีรายได้เกินเกณฑ์ เพื่อความโปร่งใส
Q5: ถ้าไม่เคยยื่นภาษีเลย จะเริ่มอย่างไร?
- สมัครบัญชีผู้เสียภาษีผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
- เก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายให้พร้อม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่สรรพากรได้ฟรี
📌 บทความเกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม
- ขอคืนภาษีกี่วันได้เงิน พร้อมเคล็ดลับยื่นยังไงให้ได้คืนเร็ว !
- ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หา ใครต้องจ่ายบ้าง?
3 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจ่ายภาษี e-Payment
📢 ภาษี e-Payment คืออะไร และเกี่ยวข้องกับใครบ้าง?
ตอบ ภาษี e-Payment คือ กฎหมายที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของผู้มีบัญชีที่เข้าข่ายธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร เช่น ผู้ที่มียอดฝากหรือรับโอนเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี หรือมียอดฝากหรือรับโอนตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีพร้อมยอดเงินรวมเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป กฎหมายนี้ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ใช้บัญชีธนาคารหรือ e-Wallet ในการทำธุรกรรม
📢 พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องเสียภาษี e-Payment หรือไม่?
ตอบ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องเสียภาษีถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด คือมีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี และมีเงินได้สุทธิ (รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย) เกิน 150,000 บาทต่อปี โดยรายได้จากการขายของออนไลน์จะถูกจัดอยู่ในประเภทเงินได้ 40(8) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือนด้วย
📢 พ่อค้าแม่ค้าควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อยื่นภาษี e-Payment ให้ถูกต้อง?
ตอบ 1. ควรจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบและเก็บหลักฐานการเงินให้ครบถ้วน
2. เลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ หักแบบเหมาร้อยละ 60 ของรายได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริงพร้อมหลักฐาน
3. รู้เวลายื่นภาษีที่ถูกต้อง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นปีละครั้งในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และถ้ามีรายได้จากหลายแหล่ง อาจต้องยื่นภาษีกลางปีด้วย
4. หากรายได้เกินเกณฑ์ ต้องจดทะเบียน VAT และออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า
5. ควรแยกบัญชีธนาคารส่วนตัวกับธุรกิจ เพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีและตรวจสอบภาษี
สรุป ภาษี e-Payment คืออะไร? ค้าขายออนไลน์ต้องรู้!
ภาษี e-Payment คือ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากธุรกรรมออนไลน์ทุกประเภท ไม่ว่าจะรับเงินผ่านช่องทางใด หากรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้น ผู้ค้าออนไลน์มือใหม่ควรจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้อง ยื่นภาษีให้ครบถ้วน และชำระภาษีผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อความสะดวกและถูกต้องตามกฎหมายนะคะ คุณน้าหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เพราะเรื่องภาษีถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายกำหนดค่ะ
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge