ภาษี e-Payment คืออะไร? ค้าขายออนไลน์ต้องรู้! อัปเดตล่าสุด

ภาษี e-Payment ค้าขายออนไลน์ต้องรู้
Table of Contents

ในยุคที่ที่การขายของออนไลน์กำลังเฟื่องฟู ใคร ๆ ก็สามารถเป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีมือถือและบัญชีธนาคารค่ะ แต่คุณน้าคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะยังเข้าใจไม่ลึกพอ นั่นก็คือ ภาษี e-Payment ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีรายได้ผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น โอนเงิน, ขายของออนไลน์ หรือรับเงินผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ

สำหรับบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาษี e-Payment คืออะไร? มีเกณฑ์ในการเสียภาษีอย่างไรบ้าง? รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้สามารถยื่นภาษี e-Payment ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ห้ามพลาดบทความนี้เลยค่ะ!

*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

คุณน้าส่องแว่นขยาย

ภาษีคืออะไร?

ภาษี e-Payment

ภาษี คือ เงินที่รัฐบาลเก็บจากประชาชนหรือนิติบุคคล เพื่อจุดประสงค์ในการนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, สาธารณสุข, การศึกษา และความมั่นคง ซึ่งภาษีนับเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ประชาชนและนิติบุคคลมีพันธะต้องชำระ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนนั่นเองค่ะ

เตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษีบุคคลเงินได้ธรรมดาออนไลน์

  1. คุณต้องยื่นภาษีประเภทใด?
  2. วิธียื่นภาษีแต่ละแบบทำอย่างไร?
  3. ต้องยื่นภาษีเมื่อไหร่? มีกำหนดระยะเวลาไหม?
  4. ถ้าไม่ยื่นภาษี จะเกิดอะไรขึ้น?

  1. รายได้ของคุณ เข้าข่ายเงินได้ประเภทใด?
  2. สำรวจสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คุณสามารถใช้ได้ ทั้งลดหย่อนส่วนตัว ครอบครัว ประกัน หรือกองทุนต่าง ๆ
  3. เรียนรู้หลักการคำนวณภาษีแบบขั้นบันได พร้อมเทคนิคช่วยให้คำนวณภาษีได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

  1. วิธีลดการจ่ายภาษีที่อาจสูงเกินจำเป็น
  2. เคล็ดลับการใช้สิทธิลดหย่อนได้อย่างเต็มที่ ตามกฎหมาย
  3. การวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือภาระภาษีล่วงหน้าอย่างไม่สะดุด

  1. ไฟล์ Excel สำหรับคำนวณภาษี ตัวช่วยเบื้องต้นที่หลายคนคุ้นเคย
  2. เว็บไซต์คำนวณภาษี ระบบจะคำนวณภาษีให้โดยอัตโนมัติ
  3. แอปพลิเคชันคำนวณภาษี สำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวในการวางแผนภาษี

ภาษี e-Payment คืออะไร?

ภาษี e-Payment (Electronic Payment Tax) คือ ระบบที่กรมสรรพากรใช้ในการตรวจสอบรายได้ของบุคคลธรรมดา ผ่านธุรกรรมการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร, Mobile Banking, พร้อมเพย์, QR Code และแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีและติดตามรายได้จากธุรกรรมทางดิจิทัล เช่น การโอนเงินหรือรับเงินจากการค้าขายออนไลน์

📢 เป้าหมายของภาษี e-Payment คือ ลดการเลี่ยงภาษีจากรายได้ที่ไม่ได้ถูกนำมายื่นภาษี โดยเฉพาะจากอาชีพอิสระหรือผู้ค้าขายออนไลน์ที่ไม่มีใบกำกับภาษีหรือหลักฐานรายได้แบบเป็นทางการนั่นเองค่ะ

ภาษี e-Payment เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

กฎหมายภาษี e-Payment นี้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 21 มีนาคม 2562 ค่ะ ถือว่าไม่เก่ามากนัก แต่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะสายโอนบ่อย รับโอนถี่ เพราะนี่คือกลุ่มที่อาจจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องถูก “รายงานข้อมูล” ไปยังกรมสรรพากร โดยสถาบันการเงินจะต้องเริ่มรายงานข้อมูลธุรกรรมที่เข้าเกณฑ์ให้กรมสรรพากรตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ใครบ้างที่เข้าข่ายต้องรายงานภาษี e-Payment?

ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล อาทิ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ก็มีสิทธิเข้าข่ายในการจ่ายภาษี e-Payment เหมือนกันหมดค่ะ หากบัญชีมี “ธุรกรรมเฉพาะ” ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้นั่นเอง


ใครบ้างที่เข้าเกณฑ์จะต้องเสียภาษี e-Payment?

ถ้ามีบัญชีธนาคารหรือมีหลายบัญชีในธนาคารเดียวกัน แล้วมีการทำธุรกรรมตามเงื่อนไขต่อไปนี้ สถาบันการเงินจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของทุกปี โดยเกณฑ์มีดังนี้

  1. รับฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป โดยไม่จำกัดจำนวนเงินต่อครั้ง
  2. รับฝากหรือรับโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกัน ตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีขึ้นไป และมียอดเงินรวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทต่อปีขึ้นไป ซึ่งต้องเข้าเงื่อนไขทั้งจำนวนครั้งและยอดเงินค่ะ

ตัวอย่างเช่น หากเราเปิดบัญชีกับธนาคารเดียวกันไว้หลายบัญชี เช่น 5 บัญชี จะมีการนับจำนวนครั้งและยอดเงินจะนำของทุกบัญชีที่ชื่อเดียวกันในธนาคารนั้นมารวมกันเลย แต่ถ้าเป็นบัญชีคนละธนาคารยอดจะไม่ถูกนำไปรวมกันค่ะ

หากเข้าเกณฑ์จะต้องเสียภาษีเลยไหม?

การเข้าเกณฑ์ที่ต้องรายงานข้อมูลไม่ได้หมายความว่าต้องเสียภาษีทันทีนะคะ แต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลให้กรมสรรพากรทราบ เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบเท่านั้น หากรายได้ที่ได้รับจากธุรกรรมเหล่านี้เป็นรายได้ตามกฎหมาย เช่น รายได้จากการขายของออนไลน์ รับเงินค่าบริการ ฯลฯ ผู้มีรายได้ต้องนำไปรายงานและยื่นภาษีประจำปีให้ถูกต้องด้วยตนเองค่ะ

📌 หมายเหตุ : หากคุณไม่ได้เข้าเกณฑ์นี้ ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลของคุณให้สรรพากร แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องยื่นภาษี หากมีรายได้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดตามกฎหมาย


เอกสารที่ต้องส่งให้กรมสรรพากรมีอะไรบ้าง?

สำหรับข้อมูลและเอกสารในส่วนนี้พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องทำการส่งเอกสารด้วยตนเองค่ะ สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ที่เราใช้บริการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการนำส่งข้อมูลให้สรรพากรเอง แต่เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัวของเรา จึงควรทราบว่าเอกสารหรือข้อมูลใดที่สถาบันการเงินจะต้องรายงานให้สรรพากรค่ะ

ข้อมูลที่สถาบันการเงินต้องนำส่งสรรพากร มีดังนี้

  • เลขประจำตัวประชาชน
  • ชื่อ-นามสกุล
  • จำนวนครั้งที่มีการฝากหรือรับโอนเงินในแต่ละปี
  • ยอดรวมของเงินฝากหรือรับโอนทั้งหมดในปีนั้น
  • เลขที่บัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม

หลังจากที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งไปยังกรมสรรพากรแล้ว หากพบว่าพ่อค้าแม่ค้ามีลักษณะเข้าข่ายต้องเสียภาษีเพิ่มเติม กรมสรรพากรจะติดต่อเพื่อขอให้จัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติม เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาภาษีอย่างถูกต้องค่ะ

📢 ข้อควรรู้ : พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องส่งเอกสารเอง แต่ควรเก็บรักษาหลักฐานทางการเงินให้เป็นระเบียบ เพื่อพร้อมสำหรับการวางแผนภาษีและการตรวจสอบจากกรมสรรพากรในอนาคตด้วยนะคะ

ค่าปรับเกี่ยวกับ e-Payment ที่ควรรู้

ค่าปรับสำหรับธนาคาร, สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการ e-Wallet ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ส่งข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากรนั้น มีความถูกต้องตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมาย e-Payment โดยมีบทลงโทษดังนี้

  • ปรับไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับการไม่ส่งข้อมูลตามกำหนด
  • ปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะส่งข้อมูลครบถ้วน

นอกจากนี้ กรณีเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษทางอาญา ดังนี้

  • จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ
  • ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ
  • ทั้งจำทั้งปรับ

ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับของข้อมูลผู้เสียภาษีค่ะ

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรเตรียมตัวอย่างไร?

1. เริ่มต้นจากการจดทะเบียนธุรกิจ

หากคุณขายของเป็นประจำและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ควรดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์หรือจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เพื่อให้กิจการมีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน และสามารถดำเนินการด้านภาษีได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ

2. แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ

การแยกบัญชีรับจ่ายของกิจการออกจากบัญชีส่วนตัวอย่างชัดเจน จะช่วยให้คุณสามารถติดตามรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลประกอบการของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังลดความสับสนในกรณีที่ต้องยื่นภาษีหรือถูกตรวจสอบ

3. เก็บบันทึกรายรับรายจ่าย

ไม่ว่าจะใช้แอปพลิเคชันบัญชีหรือบันทึกด้วยมือ การจัดเก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณคำนวณภาษีปลายปีได้ง่ายขึ้น พร้อมมีหลักฐานประกอบหากมีการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ

4. ยื่นภาษีให้ถูกต้อง

  • บุคคลธรรมดา: ยื่นภาษีผ่านแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
  • นิติบุคคล: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และเสียภาษีตามรอบบัญชี

ประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับ e-Payment

1. ภาษีเงินได้

สำหรับบุคคลธรรมดา

  • รายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์และรับชำระผ่านระบบ e-Payment ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • ผู้มีรายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์เช่น YouTube, TikTok, หรือ Facebook ที่รับเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องนำรายได้เหล่านี้มารวมคำนวณภาษี
  • การขายสินค้าออนไลน์ผ่าน e-Marketplace และรับเงินผ่าน e-Payment ก็อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเช่นกัน

สำหรับนิติบุคคล

  • บริษัทที่มีรายได้จากช่องทาง e-Payment ต้องบันทึกรายได้เหล่านี้ในระบบบัญชีและนำมาคำนวณเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • กำไรจากธุรกรรม e-Payment ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ต้องถูกนำมาคำนวณในงบการเงินเพื่อเสียภาษี

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

  • ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านระบบ e-Payment เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • การขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และรับชำระเงินผ่านระบบ e-Payment ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าและนำส่งกรมสรรพากร
  • แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างประเทศที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในประเทศไทย เช่น Netflix, Spotify ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทยและเรียกเก็บ VAT จากผู้ใช้บริการ

3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

  • การจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการผ่านระบบ e-Payment ในบางกรณียังคงต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
  • นิติบุคคลที่จ่ายเงินให้กับผู้ขายหรือผู้ให้บริการผ่านระบบ e-Payment มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
  • การจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Influencer หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านระบบ e-payment ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 2-3% ตามประเภทของผู้รับเงิน

ข้อควรระวังสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์

  • อย่าคิดว่า “ยอดโอนน้อย ๆ หลบได้” เพราะระบบดิจิทัลสามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้ทั้งหมด
  • ถ้าถูกตรวจสอบย้อนหลังแล้วพบว่าไม่ได้ยื่นภาษี อาจถูกเรียกเก็บย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับ
  • หากจัดการภาษีถูกต้องตั้งแต่แรก คุณจะไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
คุณน้ารีวิวโบรกเกอร์

ตัวอย่างสถานการณ์ของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์

คุณน้าขอยกสถานการณ์ตัวอย่างมาให้ดูกันนะคะ ว่าเข้าข่ายเสียภาษี e-Payment หรือไม่? และต้องดำเนินการอย่างไร?

สถานการณ์เข้าข่ายภาษี e-Payment หรือไม่?ต้องทำอย่างไร
ขายของผ่าน Facebook Live และรับโอนเงินเข้าแอปธนาคารวันละ 10 ครั้งถ้าเกิน 3,000 ครั้ง/ปี → ใช่ควรเริ่มต้นบันทึกรายรับ และยื่นภาษีอย่างถูกต้อง
ขายของเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ รายได้รวมปีละ 200,000 บาทไม่เข้าเกณฑ์ e-Payment เนื่องจากรายได้รวมต่ำกว่า 400,000 บาทต่อปี และไม่เกิน 3,000 ครั้งแต่หากรายได้รวมเกิน 60,000 บาท/ปียังคงต้องยื่นภาษี
ใช้บัญชีเดียวกันทั้งรับเงินจากงานประจำและขายของออนไลน์มีโอกาสถูกเข้าใจผิดว่าเป็นรายได้จากแหล่งเดียวควรแยกบัญชีเพื่อความชัดเจนและลดความเสี่ยง

ทริค! การเตรียมตัวสำหรับผู้ค้าออนไลน์

✅ แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว

การแยกบัญชีจะช่วยให้การติดตามรายรับจากการค้าขายเป็นไปอย่างสะดวก และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการตรวจสอบภายหลังได้ค่ะ

✅ จดทะเบียนพาณิชย์หรือเป็นนิติบุคคล (ถ้ามีรายได้ประจำ)

แม้ว่าการจดทะเบียนจะไม่เป็นข้อบังคับ แต่การทำเช่นนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดูมีความน่าเชื่อถือ และสามารถหักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

✅ บันทึกรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าจะใช้แอปบัญชีรายวันหรือทำ Spreadsheet ง่าย ๆ การบันทึกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้คุณเตรียมตัวพร้อมเมื่อถึงเวลายื่นภาษี

✅ ยื่นแบบภาษีตามกำหนด

  • นิติบุคคล → ยื่นภาษี ภ.ง.ด.50 ตามรอบบัญชี
  • บุคคลธรรมดา → ยื่นภาษี ภ.ง.ด.90/91 ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี

ไขทุกข้อข้องใจเกี่ยวกับภาษี e-Payment

Q1: ภาษี e-Payment คือการเสียภาษีใหม่หรือไม่?

e-Payment เป็นแค่ระบบตรวจสอบ ไม่ใช่ภาษีใหม่ และไม่ได้เก็บเพิ่มจากที่กฎหมายกำหนดไว้เดิม


Q2: ถ้าเราโอนเงินให้เพื่อนบ่อย ๆ จะโดนเรียกเก็บภาษีด้วยไหม?

หากไม่เข้าเงื่อนไข 3,000 ครั้ง หรือ 400,000 บาทต่อปี และไม่ได้มีลักษณะเหมือนการค้าขายก็ไม่เข้าข่ายที่จะโดนเรียกเก็บภาษีนะคะ


Q3: ใช้บัญชีเดียวกันทั้งส่วนตัวและขายของ จะมีปัญหาไหม?

หากใช้บัญชีเดียวกันก็มีโอกาสสับสนและถูกเข้าใจผิดได้ค่ะ ควรแยกบัญชีเพื่อลดความเสี่ยงในการตรวจสอบย้อนหลังนะคะ


Q4: ถ้ารายได้ไม่ถึง 60,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษีไหม?

ไม่ต้องเสียภาษี แต่อาจต้องยื่นแบบภาษีเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีรายได้เกินเกณฑ์ เพื่อความโปร่งใส


Q5: ถ้าไม่เคยยื่นภาษีเลย จะเริ่มอย่างไร?

  • สมัครบัญชีผู้เสียภาษีผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
  • เก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายให้พร้อม
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่สรรพากรได้ฟรี

📌 บทความเกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม


3 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจ่ายภาษี e-Payment

📢 ภาษี e-Payment คืออะไร และเกี่ยวข้องกับใครบ้าง?

ตอบ ภาษี e-Payment คือ กฎหมายที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ e-Wallet ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของผู้มีบัญชีที่เข้าข่ายธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร เช่น ผู้ที่มียอดฝากหรือรับโอนเงินเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี หรือมียอดฝากหรือรับโอนตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปีพร้อมยอดเงินรวมเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป กฎหมายนี้ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ใช้บัญชีธนาคารหรือ e-Wallet ในการทำธุรกรรม

📢 พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องเสียภาษี e-Payment หรือไม่?

ตอบ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องเสียภาษีถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด คือมีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี และมีเงินได้สุทธิ (รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย) เกิน 150,000 บาทต่อปี โดยรายได้จากการขายของออนไลน์จะถูกจัดอยู่ในประเภทเงินได้ 40(8) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือนด้วย

📢 พ่อค้าแม่ค้าควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อยื่นภาษี e-Payment ให้ถูกต้อง?

ตอบ 1. ควรจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบและเก็บหลักฐานการเงินให้ครบถ้วน

2. เลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ หักแบบเหมาร้อยละ 60 ของรายได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริงพร้อมหลักฐาน

3. รู้เวลายื่นภาษีที่ถูกต้อง เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นปีละครั้งในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และถ้ามีรายได้จากหลายแหล่ง อาจต้องยื่นภาษีกลางปีด้วย

4. หากรายได้เกินเกณฑ์ ต้องจดทะเบียน VAT และออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า

5. ควรแยกบัญชีธนาคารส่วนตัวกับธุรกิจ เพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีและตรวจสอบภาษี


สรุป ภาษี e-Payment คืออะไร? ค้าขายออนไลน์ต้องรู้!

ภาษี e-Payment คือ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากธุรกรรมออนไลน์ทุกประเภท ไม่ว่าจะรับเงินผ่านช่องทางใด หากรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้น ผู้ค้าออนไลน์มือใหม่ควรจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้อง ยื่นภาษีให้ครบถ้วน และชำระภาษีผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อความสะดวกและถูกต้องตามกฎหมายนะคะ คุณน้าหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ เพราะเรื่องภาษีถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายกำหนดค่ะ


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

Picture of khunnaphatrade
khunnaphatrade
Recent Post
วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 15 พฤษภาคม 2025
วิเคราะห์ USDJPY ดูแนวโน้มราคาล่าสุด วันที่ 15 พฤษภาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ USDJPY ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

บทวิเคราะห์คู่เงิน AUDUSD 14 พฤษภาคม 2025
บทวิเคราะห์คู่เงิน AUDUSD วันที่ 14 พฤษภาคม 2025

พบกับวิเคราะห์ AUDUSD ที่สายเทรดสั้นห้ามพลาด การวิเคราะห์คู่เงิน Forex ดูแนวโน้มราคาล่าสุด สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค

ภาษี e-Payment ค้าขายออนไลน์ต้องรู้
ภาษี e-Payment คืออะไร? ค้าขายออนไลน์ต้องรู้! อัปเดตล่าสุด

คุณน้าจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาษี e-Payment คืออะไร? มีเกณฑ์ในการเสียภาษีอย่างไรบ้าง? รวมถึงวิธีการเตรียมตัวเพื่อให้สามารถยื่นภาษี e-Payment ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว

โบนัสฟรี Forex คืออะไร?
โบนัสฟรี คืออะไร? มีขั้นตอนการรับอย่างไร!

ปัจจุบันโบรกเกอร์มีการงัดกลยุทธ์การตลาดมากมาย เพื่อใช้ในการดึงดูดเทรดเดอร์ให้เข้ามาใช้บริการ ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ “การให้โบนัสฟรี” นั่นเอง

[elfsight_cookie_consent id="1"]

ทางเว็บไซต์ คุณน้าพาเทรด
ได้มีการใช้คุกกี้เพื่อช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของเราดียิ่งขึ้น


Privacy Policy